อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค “กสทช.” หนุนโครงข่ายเพย์ทีวีรวมกลุ่มกำกับดูแลกันเอง ยกระดับอุตสาหกรรม แก้ปัญหาคอนเทนต์ไม่เหมาะสม ฝั่ง “ผู้ประกอบการ”แนะแยกประเภทผู้ประกอบการโครงข่าย-ขอความชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่าย “โฆษณา” ฟากเจ้าของช่องเร่งปรับตัวรับโฆษณา 6 นาที/ชั่วโมง

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เปิดเผยว่า หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีประกาศฉบับที่ 27 ทำให้ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีที่จะกลับมาออกอากาศได้ต้องเป็นการให้บริการประเภทบอกรับสมาชิก และต้องมีการจำกัดโฆษณาไม่ให้เกิน 6 นาที/ชั่วโมง

รวมถึงต้องกำกับดูแลเนื้อหาโฆษณาไม่ให้เข้าข่ายผิดกฎหมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารและยาไม่ให้มีคุณสมบัติเกินจริง หรือเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคเพื่อให้แต่ละกระบวนการปฏิบัติตามเงื่อนไขถูกต้อง จึงได้เชิญผู้ประกอบการทั้งเจ้าของโครงข่ายและเจ้าของช่องรายการมาหารือ โดย กสทช.อยากให้เจ้าของโครงข่ายช่วยกันดูแลช่องรายการที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ด้วย มิฉะนั้นจะถือเป็นการการสมยอมระหว่างช่องและโครงข่าย

“ผู้ให้บริการโครงข่ายต้องคอยตรวจสอบ เพราะหากมีการสุ่มตรวจพบการฉายช่องที่ไม่เหมาะสม หรือมีการร้องเรียน ถือว่าโครงข่ายต้องร่วมรับผิดชอบด้วย โดยเฉพาะโฆษณาอาหารและยาที่อาจมีการตักเตือน ปรับ พักใบอนุญาต ถึงระงับใบอนุญาต อยากให้โครงข่ายเพย์ทีวีรวมตัวกันเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมีมาตรฐานร่วมกัน ดูแลเนื้อหา ทำงานร่วมกับ กสทช. แม้เป็นภาระผู้ประกอบการ แต่เป็นทางออกที่ดีกว่าการใช้คำสั่งทางปกครอง ซึ่ง กสทช.ยินดีสนับสนุนการรวมกลุ่มให้ถ้าต้องการ โดยไทยคมก็สนับสนุนเช่นกัน”

ด้านนายวิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญยิ่ง (8888) จำกัด (เจริญเคเบิล) เสนอว่า อยากให้ กสทช.แยกประเภทของผู้ประกอบการโครงข่าย เพราะในอุตสาหกรรมมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ผู้ที่เป็นโครงข่ายผ่านดาวเทียม เช่น ซีทีเอช หรือผู้ให้บริการที่เป็นแพลตฟอร์มจากดาวเทียม เช่น จีเอ็มเอ็ม แซท และผู้ให้บริการโครงข่ายแบบเคเบิลท้องถิ่นที่นำคอนเทนต์จากผู้ให้บริการที่ เป็นแพลตฟอร์มจากดาวเทียม และผู้ให้บริการโครงข่ายผ่านดาวเทียมมารีบรอดแคสต์อีกครั้ง

และกรณีที่มีช่องรายการที่กระทำความผิด กสทช.สามารถประสานไปยังดาวเทียมเพื่อให้ระงับการฉายช่องได้ง่ายกว่าให้ผู้ ให้บริการโครงข่ายจัดการเอง การให้โครงข่ายดูแลเหมือนเป็นการจัดการ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

นอกจากนี้ การที่ให้บุคลากรของโครงข่ายคอยตรวจสอบช่องรายการที่ผิดเป็นสิ่งที่ยากในการ หาบุคคลที่มีความรู้สามารถตัดสินถูกผิดเหมาะสมได้ กสทช.ควรเอาผิดกับช่องที่เป็นผู้กระทำความผิด ถ้ามีการตักเตือนไปที่ช่อง ผู้ประกอบการโครงข่ายก็ยินดีที่ระงับการฉายให้ รวมถึงควรมีการจัดเรตความสุ่มเสี่ยงของช่องที่จะนำมาฉายให้กับผู้ประกอบการด้วย

นายมานพ โตการค้า ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอพีเอ็มทีวี จำกัด ผู้ให้บริการจานดาวเทียมจานส้ม “IPM” กล่าวว่า หลังได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายแบบเพย์ทีวี ผู้ประกอบการต้องเข้าไปดูแลเนื้อหามากขึ้น แม้อาจทำให้เสียลูกค้าไปแต่เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ทำผิดกฎหมาย อยากให้ กสทช.กำหนดรายละเอียดให้ชัดว่าพฤติกรรมแบบไหนถือว่าเป็นการโฆษณา เช่น การวางสินค้าไว้ในเป็นส่วนหนึ่งในฉาก (Tie-in) การติดป้ายในรายการ รวมทั้งช่วยกำกับดูแลโครงข่ายที่อยู่นอกระบบด้วย

“การให้โครงข่ายดูแลช่องทุกช่องที่มีอยู่เยอะมากยากที่จะทั่วถึง รวมทั้งการให้บันทึกรายการที่ฉายทั้งหมดตามที่ กสทช.กำหนดไว้ก็ลำบาก เจ้าของโครงข่ายไม่มีสิทธิ์ไปขอบันทึกจากช่องเอง จึงอยากให้ กสทช.เป็นเจ้าภาพในจัดอบรมให้ตัวแทนจากแต่ละผู้ประกอบการกับสำนักงานคณะ กรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาโฆษณาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้ เพราะส่วนใหญ่โฆษณาที่มีปัญหาก็มีเลขอนุญาตโฆษณาถูกต้องจึงต้องเข้าไปดูในส่วนเนื้อหา ส่วนที่อยากให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันก็มีความเป็นไปได้ ก่อนนี้ได้มีการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ บ้างแล้ว”

ขณะที่ตัวแทนจากจีเอ็มเอ็ม แซท กล่าวว่า รายการจากต่างประเทศจะจัดเรตติ้งเพื่อนำมาออกอากาศตามช่วงเวลาที่เหมาะสมตาม ที่ กสทช.กำหนดได้ยาก เพราะเป็นการรีบรอดแคสต์มาทั้งหมด

ด้านเจ้าของช่องรายการส่วนใหญ่กำลังปรับปรุงเนื้อหาทั้งส่วนของรายการและโฆษณา นายคูณพสิล จารุจินดา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยมงคล มัลติมีเดีย จำกัด (มงคลแชนแนล และแฮปปี้โฮม เคเบิลทีวี) กล่าวว่า เริ่มสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้เป็นไปตามกฎของ กสทช. รวมถึงเข้มงวดเรื่องโฆษณามากขึ้น เพราะถ้าโดนระงับการออกอากาศจะได้รับผลกระทบอย่างมาก มีภาระทั้งค่าเช่าดาวเทียมและค่าใช้จ่ายทางสถานี ความเชื่อมั่นของลูกค้า รวมถึงโฆษณาต่าง ๆ ที่ถอนออกไป

ขอบคุณที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์