ปฏิรูป กสทช. เพื่อการปฏิรูปสื่อ

ปฏิรูป กสทช. เพื่อการปฏิรูปสื่อ

ขอบคุณที่มา: สำนักข่าวอิศรา

วันที่ 3 สิงหาคม  ที่อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน มีการจัดเวทีราชดำเนินเสวนา เรื่อง ”ปฏิรูปกสทช. เพื่อการปฏิรูปสื่อ” ตามโครงการ 60 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย “ปฏิวัติคนข่าว ปฏิรูปสื่อ”ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดร่วมกับศูนย์ศึกษาจริยธรรม กฎหมาย และนโยบายสื่อ และสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยมีวิทยากรร่วมเสวนาได้แก่ นางสาวสุภิญญา   กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) , นางภัทรา  โชว์ศรี ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบการเงินที่ 6 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ,  นางสาวสุวรรณา  สมบัติรักษาสุข ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและนโยบายสื่อ ศูนย์ศึกษาจริยธรรม กฎหมาย และนโยบายสื่อ สถาบันอิศรา และนายวรพจน์  วงศ์กิจรุ่งเรือง อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีนายประดิษฐ์   เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา

นางสาวสุวรรณา กล่าวถึงการปฏิรูปสื่อหมายถึงการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของรัฐ การผ่อนคลายการผูกขาดของรัฐ กระจายการถือครอง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสื่อและก่อให้เกิดการแข่งขันโดยบริสุทธิ์เสรีเป็นธรรม โดยมีเป้าหมาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผูกขาด ให้หลักประกันในการสื่อสารของคนทุกกลุ่มในสังคม และสร้างมาตรฐานของเนื้อหารายการ อย่างไรก็ตามการปฏิรูปไม่ใช่แค่เรื่องของการที่สื่อไม่มีจริยธรรม เพราะถ้าคิดแค่เรื่องนี้ไม่สามารถตอบโจทย์สังคมได้ทั้งระบบ

“ทำไมเราต้องพูดถึงกสทช.  เพราะสื่อมีหลากหลายช่องทาง แต่สื่อวิทยุและโทรทัศน์ต้องใช้คลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของชาติที่มีจำกัด เราจึงจับประเด็นของกสทช. เพราะคลื่นความถี่ที่กสทช.กำลังดูแลมีจำนวนจำกัดต้องทำให้เกิดการแข่งขันที่มีความมีเสรีและเป็นธรรม ตามพระราชกฤษฎีกาสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ระบุการมีคณะกรรมการสรรหาการปฏิรูปสื่อที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้จากทั้งหมด11หัวข้อ”

สำหรับภารกิจในการปฏิรูปสื่อ นางสาวสุวรรณา กล่าวว่า มีอยู่ 3 ด้าน 1.การกระจายการถือครองคลื่นความถี่ตรงตามเจตนารมณ์หรือไม่ 2.ประชาชนได้เข้าถึงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ 3.การแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม  นี่คือประเด็นที่สังคมต้องจับตา จึงคิดว่ากสทช.ยังมีความจำเป็นยังคงต้องคงอยู่ต่อไป แต่มีบางอย่างที่ต้องแก้ไข

“เคยเป็นอนุกรรมการยกร่างกฎหมายการประกอบกิจการฯ และรู้ปัญหาของวิทยุกระจายเสียงจึงมีโอกาสจับตาดูกสทช.มาโดยตลอด และที่มาของการยกร่างกฎหมายฉบับนั้นอยู่บนแนวคิดว่าต้องคลี่นความถี่วิทยุมีได้ 524 คลื่นในทั่วประเทศ และใน524คลื่น แบ่งเป็นของกรมประชาสัมพันธ์100กว่าคลื่น กองทัพบก 100 กว่าคลื่น  อสมท.62คลื่น ถามว่า นี่คือทรัพยากรไม่มีเอกชนและประชาชนเป็นเจ้าของเลย ดังนั้นเราต้องการการกระจายการถือครอง 524 คลื่น และวันนี้ต้องถามว่า หน่วยงานเหล่านั้นมีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีคลื่นเหล่านี้และท่านสามารถลดการถือครองรวมกันเหลือ 209 คลื่นได้หรือไม่  แต่ผลปรากฏว่า วันนี้เรามีวิทยุเป็นหมื่นๆคลื่นทั้งที่ 524 คลื่นยังไม่ได้รับการจัดสรรและยังคงอยู่ การกระจายคลื่นหลักยังไม่เกิดขึ้น ถ้ากสทช.ทำงานภายใต้การยกร่างนั้นง่ายๆเลย”

นางสาวสุวรรณา กล่าวอีกว่า ไม่คิดว่าเราจะเกิดภาวการณ์ที่วิทยุชุมชนเกิดขึ้นเป็นหมื่นคลื่น แล้วเราจะจัดสรรให้เราอยู่กันอย่างมีความสุขได้อย่างไร ซึ่งเราเข้าใจว่าเมื่อเกิดกสทช.ตามพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่แล้วจะจัดการ 524 คลื่น แต่ท่านไม่ได้ทำเลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนเรื่องทีวีดิจิตัลมี48ช่องใหม่ นางสาวสุวรรณา กล่าวว่า มีการจัดสรรช่องธุรกิจไปแล้ว 24 ช่อง ยังเหลือชุมชนอีก12ช่อง ที่ยังไม่มีพูดถึง และไม่ต้องพูดถึงช่องสาธารณะที่มีการจัดสรรไปแล้วบางส่วน แต่ขณะนี้มีคนวิเคราะห์ว่า ช่องธุรกิจ24ช่องกำลังจะตายและไปไม่รอด นี่คือผลงานที่กสทช.มองแต่ผลงานข้างหน้าโดยไม่มองปัญหาข้างหลัง

“ขณะนั้นผู้ยกร่างกฎหมายมองว่า ช่องอนาล็อค 6 ช่องในปัจจุบันควรกระจายให้ชุมชนและบริการสาธารณะ และธุรกิจโดยสัดส่วนที่เป็นธรรม จึงมีคนสงสัยว่ามีการแบ่ง12ช่องสาธารณะแบ่งเพื่ออะไร  อยากจะบอกว่ากสทช.ไม่ได้ใช้และตีความกฎหมายที่ให้อำนาจกสทช.ดำเนินการ แต่กลับดำเนินการตามที่ท่านคิดว่าอยากทำโดยลืมนึกว่ากฎหมายมีหลักการใช้และการตีความกฎหมาย”

เปิดละเอียดโครงสร้างกสทช.

สำหรับเรื่องการแข่งขันเสรีที่เป็นธรรม ระบุตามกฎหมายว่า ต้องป้องกันในส่วนของการถือครองเพื่อการแข่งขันแสรีและเป็นธรรม นางสาวสุวรรณา กล่าวว่า ไม่เห็นว่ากสทช.จะทำอะไร  วันนี้เปิดทีวีดิจิตัลก็มีการถือครองสิทธิ์ข้ามสื่อ จะเห็นว่าสื่อหนังสือพิมพ์ไปถือครองทีวีดิจิตัลครบถ้วนแล้ว แล้วจากนี้กสทช.จะเก็บไปตัดสินเหมือนที่ปล่อยให้มีวิทยุชุมชนเป็นหมื่นคลื่นหรือไม่ ก็คาดหวังว่าจะไม่ทำแบบนั้น

“ประเด็นปัญหาที่นำไปสู่การปฏิรูปกสทช. คือเรื่องการบริการจัดการ ที่ต้องดูเรื่องแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่เป็นปัญหามาก ดูโครงสร้างสำนักงานกสทช.  โครงสร้างบุคลากร กฎระเบียบ และเรื่องงบประมาณ ซึ่งจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ของกสทช.ระบุว่า ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลของกสทช.สู่สาธารณะ แต่กลับไม่พบรายงานประจำปีในเว็บไซต์จนต้องตามหาหนังสือสรุปรายการงาน2เล่มของกสทช. พบว่าโครงสร้างของกสทช.มีทั้งหมด46สาย  โดยงานกำกับดูแลวิทยุ ทีวีดิจิติล ทีวีดาวเทียม เขามีคน1,083คน มีผู้บริหารระดับต้น 70 คน พนักงานปฏิบัติการระดับสูง 310 คน พนักงานปฏิบัติการระดับต้น68คน และพนักงานสัญญาจ้างอีกว่า 300 กว่าคน และพนักงานที่ไม่รวมผู้เชี่ยวชาญก็มีประมาณ 900กว่าคน จึงทำให้กสทช.มีโครงสร้างที่หัวใหญ่กว่าหาง และมีข้อมูลระบุข้อมูลว่าใน46สายงาน  มีคนดูแลงานด้านกิจการวิทยุและโทรทัศน์เพียง 264คน  มี64คนในการออกใบอนุญาต และคนดูแลการใช้คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ 14 คน ซึ่งมีคนแค่นี้ไม่เพียงพอ”

เรื่องการใช้จ่ายบุคลากรทั้ง 1,083 คน นั้น นางสาวสุวรรณา กล่าวด้วยว่า ใช้งบประมาณปี 2556 จำนวน 634 ล้านกว่าบาท  พนักงาน 1 คนกินเงินเดือน 48,000 บาท/เดือน มีค่าตอบแทนกสทช.ประมาณ 270,000 บาท บำเหน็จอัตราเฉลี่ย 79,000บาท  และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเบี้ยประชุมของกรรมการ 50 ล้านบาท ค่าเดินทางไปต่างประเทศ 32 ล้านบาท ค่าจ้างเหมารายการจัดอีเวนท์ 274 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใจการประชาสัมพันธ์ 180 กว่าล้าน ค่าจ้างที่ปรึกษา 329 ล้านบาท เงินบริจาคและการกุศล 99 ล้านบาท นี่คือข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือรายงานประจำปีของกสทช.  และนอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา เรื่องการใช้จ่ายปี56 ในส่วนของค่าใช้จ่ายของอนุกรรมการและคณะทำงานของกสทช. 840 คน  ประมาณ 49ล้านบาท

ฉะนั้นแนวทางขับเคลื่อนการปฏิรูประยะสั้น สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบในความมีธรรมาภิบาล ประกอบกับการประเมินการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และกสทช.เองก็ต้องไม่ทิ้งแนวคิดในการปฏิรูปสื่อ แต่ตนยืนยันว่า กสทช.ยังต้องเป็นองค์กรอิสระแบบนี้ แต่จะอิสระอย่างไรก็ต้องไม่ทิ้งเรื่องการแก้ปัญหาโครงสร้างการผูกขาด ให้หลักประกันการมีเสรีภาพเข้าถึงของคนทุกกลุ่ม และสร้างมาตรฐานเนื้อหาสาระที่หลากหลาย ส่วนระยะยาวต้องปรับแก้กฎหมายเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต และต้องเป็นองค์กรที่โปร่งใสตรวจสอบได้

นอกจากนี้ ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและนโยบายสื่อฯ ยังเสนอแนวคิด “ฉันทามติ” ว่า น่าจะถูกนำมาใช้ในการทำงานขององค์กรอย่างกสทช. หมายความว่า คน 11 คน (กรรมการกสทช.) ต้องออกมติให้ได้ให้เป็นเอกฉันท์ เพราะทุกวันนี้แพ้ 1 เสียงก็แพ้แล้ว และผู้บริโภคเป็นเสียงข้างน้อยเสมอ พร้อมกันนี้ยังสนอให้แยกองค์กรให้เล็กลงเป็น 2 องค์กร ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรหนึ่งกำกับโทรคมนาคม และอีกองค์กรก็กำกับดูแลวิทยุและโทรทัศน์

ให้คะแนนกสทช.เรื่องกำกับดูแลสอบตก

ขณะที่นางสาวสุภิญญา  กล่าวยอมรับว่า การกำกับดูแลกสทช.น่าจะติดลบ แต่การจัดสรรคลื่นถือว่าเป็นเรื่องเด่น เพราะมีแรงงจูงใจเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ จะเห็นจากการจัดสรรคลื่น 2100 ของโทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้รัฐได้งบประมาณต่ำ และเปลี่ยนเป็นคลื่น UHFของทีวี อันนี้ได้งบสูงแต่จะทำให้เอกชนอยู่ได้หรือไม่ต้องดูต่อไป

“กรณีมีการวิจารณ์ว่า กสทช.แตะเรื่องปฏิรูปสื่อของรัฐน้อย แม้จะมีการออกแบบไว้แล้ว แต่ส่วนของทีวีมีการทำอยู่แต่หาโจทย์ที่วินวินไม่ได้” กรรมการกสทช. กล่าว และว่า แม้กสทช.จะสอบไม่ตก แต่อาจจะได้คะแนนไม่ดี แต่เรื่องการกำกับดูแลอาจจะสอบตก เพราะในกิจการโทรทัศน์รายใหม่อยากจะเข้ามามาก แม้รายเดิมก็พยายามจะถ่วงก็ตาม และไม่อยากให้กำกับ พร้อมกับยอมรับว่างานยุทธศาสตร์สำคัญของกสทช.มีบุคลากรน้อย แต่งานบริการกลับมีคนมากกว่า  เงินมีเยอะแต่ไม่เป็นไปตามภารกิจที่ต้องได้รับการปฏิรูป

นางสาวสุภิญญา กล่าวว่า  ถ้าจะต้องปฏิรูปกสทช. หากจะต้องแก้กฎหมาย ต้องให้น้ำหนักเรื่องการกำกับดูแลมากขึ้น เพราะไม่มีใครอยากทำตรงนี้ สัดส่วนของคนที่เข้าไปในกสทช.รู้เรื่องสื่อก็มีน้อย เพราะพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ จริยธรรมกับกรรมการคนอื่นต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี เพราะคนเชี่ยวชาญด้านสื่อในกสทช.มีน้อยมาก หากจะแก้กฎหมายควรมีผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นจริงๆ เข้ามา ต้องได้คนที่เข้าใจเรื่องสื่อสารมวลชน ทำเรื่องกำกับดูแลให้เป็นรูปธรรม มีการวัดผลแบบ KPI  แม้กฎหมายเขียนให้ถอดถอนกสทช.ได้ แต่ก็ไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นต้องแก้กฎหมายให้กลัว

หนุนเผยบัญชีทรัพย์สินของกสทช.

ส่วนเรื่องธรรมาภิบาล กรรมการกสทช. กล่าวยอมรับ มีปัญหามากในระดับบอร์ดและพนักงาน ท้ายที่สุดทางแก้ต้องแก้เรื่องรายได้ของกสทช.ที่รายได้สูงมาก และการออกแบบให้อิสระเกินไปก็ทำให้ฟุมเฟื่อยและใช้ไม่ถูกจุด อย่างไรก็ตามคิดว่า เจตนาของการมีองค์กรอิสระเพื่อกำกับดูแลอย่างกสทช.ยังคงต้องมีอยู่ ดีกว่าการไปเป็นหน่วยงานรัฐ

“หากจะปรับแก้กสทช.จริงๆ ต้องซ่อมจุดอ่อนว่าจะยึดโยงอำนาจตรวจสอบ ง ต้องเขียนล็อคเรื่องลงมติเรื่องฉันทามติแทนการโหวตเสียงข้างน้อย และต้องมีกรรมการ11คนอย่างอิสระ ต้องดูเรื่องการเขียนกฎหมายไม่ควรให้ข้างมากเกิน 1 เสียงก็ชนะ รวมถึงอาจจะต้องแก้กฎหมายให้ชัดเจนเรื่องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของกสทช.ให้สังคมรับทราบเพื่อให้เกิดการตรวจสอบ”

สตง.ติงกสทช.คนกองอยู่ในงานบริหาร

ด้านนางภัทรา กล่าวถึงบทบาทขอสตง. ในส่วนของกสทช.ไม่ได้ดูแค่การใช้จ่ายเงิน เพราะเป็นหน่วยงานพิเศษต้องมองในภาพของการดำเนินงานด้วย จึงเป็นหน่วยที่ดูกฎหมาย โครงสร้างการบริหารบุคคล มองถึงยุทธศาสตร์ แผนแม่บท โครงสร้างบุคลากรอย่างไรก็ตามรายงานผลปฏิบัติงานปี 2556 เป็นรายงานที่สตง.ยังไม่ได้รับรองและแสดงความเห็นจากสตง. จึงขอให้กสทช.รอเพื่อให้นำส่วนของสตง.เข้าไปใส่ด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ตัวเลขหลายตัวสูงขึ้นมาก

ส่วนของบำเหน็จที่มีการสงสัยว่า เป็นโบนัสนั้นยืนยันว่า ไม่ใช่เงินโบนัส แต่เป็นการสำรองไว้ในวันเกษียณ ฉะนั้นไม่เกี่ยวว่า เป็นโบนัส ส่วนที่ถามว่าค่าใช้จ่ายที่ตัวเลขสูงขึ้นนั้นยกให้เป็นครดิตของสำนักงานกสทช.  เพราะหลังจากสตง.ตรวจสอบและพูดคุยกันก็มีความพยายามจะลดลงมา เพราะตั้งแต่ปี2555 หลังจากเราแจ้งว่าเราตรวจเจออะไร เรื่องจ้างที่ปรึกษา อนุกรรมการ การเดินทางไปต่างประเทศ และการบริจาค ที่สูงมากก็มีการลดลง

“เรื่องการใช้จ่ายเงินของกสทช.เราจับมาตั้งแต่ปี 2553-2556เรียงกัน พบว่าบางจุดลดลง แต่สิ่งที่กำลังมอง มองเรื่องการจัดงานอีเว้นซ์หลายๆ งานที่กสทช.สามารถทำเองได้ แต่กลับจ้างบริษัทภายนอกเพื่อให้การทำโปร่งใสมากขึ้น เพราะตรวจสอบยาก เนื่องจากมีใบเสร็จใบเดียวแล้วจบ จึงอยากให้ทำงานด้วยตัวเอง และกระจายคนมาออกสู่การปฏิบัติมากกว่านี้  ไม่ใช่กองอยู่ในงานบริหาร เพราะถ้าเทียบสตง.มีคน 2,000 กว่าคน แต่กสทช.พันกว่าคนดูแลแค่สื่อเท่าน้้น ดังนั้นต้องแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงานของกสทช. โดยคำนึงถึงการมีธรรมาภิบาล และการตั้งอนุกรรมการ ที่ปรึกษา ต้องไม่มาโดยระบบโควตา”

จี้กสทช.เปิดเผยข้อมูลให้เร็ว

จุดที่กสทช.ต้องปรับปรุงแก้ไข ผอ.สำนักตรวจสอบการเงินที่ 6 สตง. กล่าวว่า คือการเปิดเผยข้อมูล เพราะกฎหมายระบุแล้วว่า จะต้องเปิดเผยอะไร แต่การปฏิบัติการเปิดเผยยังไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนดและล่าช้ามาก ซึ่งสตง.พูดถึงเรื่องนี้ในรายงานด้วย เพราะเมื่อใดที่ให้มีการเปิดเผยข้อมูลจะทำให้คนที่คิดทำอะไรนอกลู่นอกทางลำบาก ซึ่งจะไม่ใช่แค่สตง.เท่านั้นที่จะติดตามตรวจสอบกสทช.

“จ่ายเท่าไรไม่ว่า แต่จ่ายแล้วต้องเห็นผลงาน งานคืออะไรกับการจ่ายขนาดนั้น สตง.พยายามดูแล กสทช.อย่างมากๆ ตาของทุกคนสำคัญมากกว่า เพราะตาของสังคมที่จะช่วยกันตรวจสอบกสทช.  เพราะประโยชน์จะตกกับเราทุกคนและคิดว่า กสทช.ควรมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานที่ชัดเจน ถ้าเกณฑ์ไม่ผ่านควรต้องมีมาตรการยังไงบ้าง คิดว่ายังต้องมีการแก้ไขกฎหมายของกสทช. แต่คิดว่ากสทช.ยังคงต้องมีอยู่  ”

นางภัทรา กล่าวอีกว่า กสทช.เป็นหน่วยงานเดียวในประเทศไทย ที่บริหารจัดการการเงินของตัวเองและใช้จ่าย คิดโครงการก็เขียนงบเอง แล้วเหลือเท่าไรก็ส่งเป็นรายได้เข้าแผ่นดิน ฉะนั้นคิดว่า จากนี้รายได้ไม่ว่าจะเป็นเท่าไร จะได้จากการเปิดเลขหมายเลขละ 2 บาท หรือกี่เปอร์เซ็นต์ ให้นำส่งแผ่นดินและให้สำนักงานฯ ตั้งโครงการและงบฯขึ้นมา ซึ่งอาจจะมีช่องทางทางกฎหมายให้ดีกว่าหน่วยงานทั่วไป

“ไม่ใช่ว่าสำนักงบประมาณอยากจะตัดก็ตัด ดังนั้นต้องให้อิสระกับกสทช.  เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ยกเว้นว่าหน่วยงานไหนจะสามารถอยู่นอกกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯสามารถเขียนให้ท่านหลุดกรอบนี้ได้”

จับตาการจัดสรรคลื่นความถี่

สุดท้ายนายวรพจน์ กล่าวแสดงความเห็นด้วยที่มีกสทช.อยู่ แต่อยากฝากประเด็นให้จับตาการจัดสรรคลื่นความถี่ที่เปลี่ยนจากสัมปทานของหน่วยงานรัฐกลับมาจัดสรรใหม่ ที่ต้องดูเรื่องหลักเกณฑ์ความจำเป็นที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาว่า คลื่นกำหนดอายุกี่ปี รอดูว่าจะได้จัดรสรรเมื่อไร รวมทั้งการให้ใบอนุญาติทีวีสาธารณะไม่มีการออกหลักเกณฑ์ประกวดคุณสมบัติและไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์จากสังคม เราอาจจะเห็นหน่วยงานรัฐเข้ามา อาจจะทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม ส่วนการปฏิรูประดับเนื้อหาจะทำอย่างไรที่จะสนับสนุนผู้ผลิตสื่อที่หลากหลายยิ่งขึ้น รวมทั้งจะกำกับดูแลเนื้อหาทีวีช่องธุรกิจยังไง เพราะปัจจุบันพบว่าบ างรายการได้ช่องข่าวไป แต่ก็ทำข่าวกอสซิบบันเทิง ข่าวดารา

อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ยังตั้งข้อสังเกตว่า มีใครเคยเห็นการนำงานวิจัยของกสทช.ที่ใช้งบประมาณจำนวนมากจัดทำขึ้นเว็บไซต์ของกสทช.หรือไม่ มีใครเคยเห็นเอกสารวิจัยมาแสดงในงานการทำประชาพิจารณ์ของกสทช.หรือไม่ ว่าอยู่ที่ไหน

“ผมก็ไม่เคยเห็นเลย ทั้งที่ทราบมาว่า ใช้เงินทำวิจัยมากถึง 330 ล้านบาทในการจ้างที่ปรึกษาทำเรื่องนี้เมื่อปี2556 และมีข่าววงในจากเพื่อนนักวิชาการที่ไปรับงานวิจัยของกสทช.ระบุว่า บางโปรเจคงบวิจัยสูงถึง 10-20 ล้านบาท รวมถึงงบดูงานต่างประเทศ แต่พบว่า ไมใช่เฉพาะคนที่วิจัยไปต่างประเทศเท่านั้น แต่มีคนของกสทช.ต้องไปด้วย และคนที่ไปด้วยกลับฟังภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ก็เหมือนลักษณะหมุนๆกันไป”

ส่วนประเด็นของการตั้งอนุกรรมการ นายวรพจน์  ถามว่ามีความเชี่ยวชาญจริงหรือไม่ในการเข้ามาเป็น หรือเป็นเพียงความชอบของกสทช.แต่ละคนเท่านั้นในการใช้โควต้าในการเลือก เพราะถ้ามีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องพวกนี้ เราจะรู้ว่าใครทำงานใครไม่ทำงาน เพราะทราบมาว่าเบี้ยประชุมครั้งละ 8,000 บาท บางคนพูดกันคนละ 2 นาที ก็รับเงินเบี้ยประชุม ซึ่งการมีอนุกรรมการมากเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ รวมถึงมีข่าวว่าจะปรับเบี้ยประชุมเพิ่มเป็น 15,000 บาท เพราะอนุกรรมการบางคนมาถึงก็แค่เปิดอ่านแฟ้มที่เจ้าหน้าที่กสทช.เตรียมไว้ในที่ประชุมแล้วก็พูดโดยไม่ทำการบ้านมาก่อน ดังนั้นคิดว่า ต้องพิจารณาว่างานเรื่องไหนสำคัญและจำเป็นที่ควรมีอนุกรรมการ

“เรื่องงบฯ เดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ฝากกรรมการกสทช.ช่วยแชร์ประสบการณ์จากไปต่างประเทศให้สังคมได้รับทราบบ้าง เพราะมีมูลค่าสูง จะได้รู้ว่าท่านได้ทำอะไรในการทำนโยบายบ้าง  รวมทั้งต้องการให้กสทช.เป็นองค์กรที่มีพื้นที่ถกเถียงและผลิตนโยบาย โดยการดึงการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียเข้าไปมีส่วนร่วมถกเถียงก่อนออกนโยบาย ไม่ใช่แค่การเข้าไปควบคุมแล้วสั่งการเท่านั้น  เพราะบางประกาศที่มีผลกระทบก็ไม่ได้เกิดจากการมีส่วนร่วม”

ค้านกสทช.ทุ่มเงิน 184 ล้านซื้อพื้นที่่พีอาร์

นายวรพจน์ กล่าวถึงการใช้เงินซื้อพื้นที่ประชาสัมพันธ์ 184 ล้านบาทของกสทช.ด้วยว่า สื่อที่รับเงินจากกสทช.จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ได้อย่างไร เพราะลงข่าวประชาสัมพันธ์โจมตีฝ่ายที่เห็นต่างจากกสทช. ไม่ต่างจากข่าวที่กสทช.เขียนเอง จึงขอฝากสื่อไปดูแลตรวจสอบกันด้วย รวมทั้งกสทช.เป็นแหล่งทุนหลักในการทำวิจัย ทำให้นักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์กสทช.  อาทิ ผลิตงานวิจัยออกมาเรื่องประมูลคลื่น 3จี ผู้รับงานวิจัยไม่ได้ออกมาพูดเลยว่ากสทช.นำไปใช้ตรงกับที่ท่านวิจัยหรือไม่

“พอเห็นเราออกมาวิจารณ์ก็อัดเรากลับ แทนที่จะเปิดพื้นที่สาธารณะ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการฟ้องร้อง สุดท้ายตนอยากเห็นกสทช.ยึดมั่นในการปฏิรูปสื่อมากกว่าโอนเอียงไปกับอำนาจต่างๆ”